Friday, July 16, 2010

พลังแห่งการคิดในเชิงบวก

ที่มา
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=1ebaf0f58c9ec2d8

คิดบวก ชีวิตก็บวกครับ เหมือนเร็วเห็นน้ำครึ่งแก้ว ถ้าคุณคิดว่าเหลือแค่ครึ่งแก้ว ก็เป็นลบ ดูจะขาดแคลนขึ้นมาทันทีใช่มั้ยครับ แต่ถ้าคิดว่า ยังเหลืออีกตั้งครึ่งแก้วแหนะ ครึ่งแก้วเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับมาต่างกันมากเลย

จอนห์ ไมตันกวีเอกชาวอังกฤษ เคยกล่าวไว้ว่า "จิตมนุษย์ทำให้นรกเป็นสวรรค์ก็ได้ และทำสวรรค์ให้เป็นนรกก็ได้" เป็นการสอนให้เรารู้ว่ามนุษย์มี 2 จำพวก พวกหนึ่งมองโลกในแง่ดี แง่บวก มองว่าทุกปัญหามีหนทางแก้ไขได้ ส่วนอีกพวกหนึ่งมองโลกแง่ลบ หมดหวัง ท้อแท้ เบื่อหน่าย คล้ายกับว่าทุกหนทางมีปัญหาท่านที่ผ่านชีวิตมาพอสมควร คงจะสังเกตุความจริงเหล่านี้ได้ และพิจารณาดูชีวิตของเราเอง เราก็คงจะบอกได้ว่าเราเป็นคนประเภทใด หรือมีส่วนประสมของสองลักษณะเข้าด้วยกัน บางช่วงก็มองโลกในแง่ดีมีความหวังมากแต่พอประสบความผิดหวังในบางเรื่อง ก็พาลจะท้อแท้ยอมแพ้เอาง่าย ๆ และพาให้เริ่มมองโลกในแง่ลบไป จนกระทั่งมีคนเตือนสติหรืออ่านข้อคิดของคนบางคนที่ตกในที่นั่งลำบากกว่าเราเขายังฮึดสู้ จนพบความสำเร็จในที่สุด
ให้คิดอย่างนี้นะครับ เพื่อเสริมสร้างให้ตัวเองคิดในแง่บวกให้ได้
-Positive Thinking เป็นของฟรี เราไม่ได้เสียหายอะไรที่จะมองในแง่บวก แถมเราสบายใจด้วย
-Positive Thinking เป็นปฏิกิริยายาลูกโซ่
ที่ทำให้คนข้างเคียงเกิดการเลียนแบบ มีผลต่อการพัฒนาตัวเราเองและคนข้างเคียงเกิดการเลียนแบบ มีผลต่อการพัฒนาตัวเราเอง และคนข้างเคียงและสังคมโดยรวม นอกจากนั้นยังมีผู้กล่าวว่า ความคิดของคนเราที่คิดด้วยความเชื่อมั่นในทางบวก เหมือนมีกระแสแม่เหล็กที่ถึงคนที่คิดในลักษณะเดียวกันให้เข้ามาหากัน เกิดเพิ่มกลุ่มแกนที่คิดในทางบวกมาเสริมกัน ทำให้มีพลังขับเคลื่อนสังคมไปในทางที่ดี
-จงช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ลำบากกว่าเรา จะช่วยให้เราลืมความทุกข์ที่รุมเร้า และมีชัยชนะโดยง่าย
- จงนับส่วนที่ท่านมี อย่านับส่วนที่ท่านขาด
ในชีวิตจริงนั้น คนส่วนใหญ่มีส่วนที่ดี และส่วนที่บกพร่อง และส่วนที่มีส่วนที่ขาด คละกันไป แต่วิธีมองนั้นทำให้คนมีชีวิตที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง คนที่มองส่วนที่มีก็จะรู้จักชื่นชมยินดี ส่วนคนที่มองแต่ส่วนที่ขาด ก็จะนำไปเทียบกับคนอื่นที่มีมากกว่า ทำให้เกิดความอิจฉา เกิดความทุกข์ใจ น้อยใจ เช่นคนหนึ่งบ่นน้อยใจที่ตนเองไม่มีเงินซื้อรองเท้าดี ๆ มาใส่ ใส่แต่รองเท้าเก่า ๆ ขาด ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งไปเห็นคนที่ไม่มีแม้แต่เท้า (คนขาด้วน) จะใส่รองเท้า จึงเลิกบ่นเรื่องรองเท้าเก่าของตนเอง

อย่าลืมนะครับว่าชีวิตคนเรานั้นสั้น สนุกกับมันดีกว่า และสมองอะ มีพลังสำคัญ คุณเป็นอย่างที่คุณคิด ถ้าคุณคิดลบ มันก็ลบกับคุณ แย่กับคุณ (นี้เป็นเหตุผลที่ผมไม่คุยเรื่องการเมืองแล้ว อิๆ ไม่มีประโยชน์จะเถียงด้วยจริงๆ การมองโลกในแง่ดี คือให้หลบๆออกมาครับ ไม่เกิดประโยชน์ เราช่วยประเทศในมุมมองในแบบของเราได้ เพราะต่างฝ่ายต่างหวังดีด้วยกันทั้งนั้น(เอานานิดนึง) )
การคิดในทางบวก เริ่มต้นที่การเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่นและธรรมชาติ
ทำให้เห็นความดีของตนเอง ของผู้อื่นและธรรมชาติที่แวดล้อมเรา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทำให้สามารถชื่นชมสิ่งดี ๆ มีความสุขใจมากกว่าทุกข์ใจ มีเพื่อนมากกว่ามีศัตรู มีสุขภาพ
มากกว่าโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ชัดเจนขึ้นว่า คนที่มองโลกในแง่บวกจะสุขใจและมีอายุยืนยาวกว่าการที่มองโลกในแง่ลบ เพราะความสุขใจหรือความปิติที่เกิดขึ้นนั้นจะกระตุ้นสมองให้หลั่ง "สารสุข" หรือ "Endorphine " ออกมา ทำให้แก้ปวด คลายเครียด เพิ่มภูมิต้านท่านโรคแก่ร่างกาย กินได้ นอนหลับดี สุขภาพโดยรวมก็ย่อมดีขึ้น ตรงกันข้ามคนที่เครียดตลอดเวลา จะหลั่ง "สารทุกข์" คือ Adrenaline ออกมามาก ก็จะกระตุ้นให้ใจสั่น นอนไม่หลับ ท้องผูก เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และมักจะเกิดโรคแทรก หรือโรคจิต ประสาทขึ้นมาได้ บางคนเกิดภาวะซึมเศร้า ถึงกับฆ่าตัวตายได้
หลวงจิจิตร วาทการ จึงสอนเราในโคลงกลอนอีกตอนหนึ่งว่า
"สองคนยนตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวพราวแพรว"


มี ท่าน ว.วชิรเมธีเคยกล่าวเกี่ยวการคิดในเชิงบวกไว้ด้วยครับ ยาวมากเสียดายที่จำไม่ได้(แต่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน จะยกมาก็กลัวไม่เหมือน)จำได้อันแรก คราว คือ
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี้คือ โอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี้คือ บทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี้คือ แบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

No comments: