Friday, July 11, 2008

มหากาพย์ กระต่ายกับเต่า

มหากาพย์เต่ากับกระต่าย
.............วันนี้บ้านเมืองเราเกิดสถานการณ์ทางการเมืองหลายอย่าง ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลายต่อหลายคน หรือหลายต่อหลายธุรกิจกำลังรอดูท่าทีและเตรียมพร้อมที่จะพยายามดูแลธุรกิจให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดด้วยการหาช่องทางต่าง ๆ ฉบับนี้จึงนำเรื่อง มหากาพย์เต่ากับกระต่ายรวม 4 ภาค ที่สะท้อนเรื่องของทีมเวิร์กและการแข่งขันกับสถานการณ์มาเล่าสู่กันฟัง
.............กาลครั้งหนึ่ง เจ้าต่อกับกระต่ายเถียงกันว่าใครวิ่งเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะวิ่งแข่งเพื่อรู้แพ้รู้ชนะ โดยกำหนดเส้นทางการแข่งขันและเริ่มการแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาแต่ไกลเลขละล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้สักพักหนึ่งก่อนแข่งต่อไปก็ยังได้ หลับไปนานเท่าใดไม่รู้ ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าได้ชัยชนะไปแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ช้า ๆ แต่มั่งคงก็สามารถเอาชนะได้(เหมือนกัน) ที่เล่ามานี้สอนให้รู้เวอร์ชัน ชิล ชิล ที่เราคุ้นหูกันมานาน หรือเรียกได้ว่า ภาคที่หนึ่ง ส่วนเวอร์ชั่นต่อไปเป็นดังนี้
.............ภาคที่สอง เจ้ากระต่ายหงุดหงิดที่แพ้เจ้าเต่า มันจึงพยายามหาจุดอ่อนของตนเอง และก็พบว่า เป็นเพราะมันมั่นใจตัวเองมากไป บวกกับความประมาทและความขี้เกียจนั่นเอง จึงทำให้แพ้ ครั้งนี้มันจึงขอเจ้าเต่าแข่งขันใหม่ และก็ไม่พลาด มันชนะขาดลอย
ข้อคิดในภาคที่สอง ช้าแต่ชัวร์ก็ยังแพ้เร็วแต่สม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนในองค์กรของเรา คนหนึ่งช้าก็จริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน ทำอะไร ๆ ก็ไม่พลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนหนึ่งที่เร็วและก็พอใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักประสบความสำเร็จ มีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้น มากกว่า คือ ว่าช้าแต่ชัวร์ก็ดีอยู่ แต่เร็วและเชื่อถือได้นั้นดีกว่า
.............ภาคที่สาม เจ้าเต่าเริ่มหาจุดบกพร่องของตนเองบ้าง และพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะเจ้ากระตายหูยาวในเส้นทางเดิม ไม่ช้ามันก็ไปท้าเจ้ากระต่ายแข่งกันอีกครั้ง โดยขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่ง เจ้ากระต่ายไม่รอช้า ตอบรับการแข่งขันทันที พอเริ่มการแข่งขันเจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์วิ่งนำหน้าทันที จนกระทั้งไปถึงระหว่างทางก็ต้องหยุดตัวโก่ง เพราะมันต้องวิ่งข้ามน้ำไปกว่าจะถึงเส้นชัย ขณะที่เจ้ากระต่ายคิดแก้ปัญหาอยู่นั้นเจ้าเต่าก็คลานมาถึงแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายเข้าสู่เส้นชัยได้อย่างสบาย ๆ
ข้อคิดในภาคที่สาม พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดี และพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันเพื่อให้ตนได้เปรียบที่สุด
.............ภาคที่สี่ ด้วยน้ำใจนักกีฬา เจ้าเต่าและกระต่ายได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกันแล้ว จึงได้มาระดมสมองคิดด้วยกันว่า หากทั้งสองร่วมมือกัน การแข่งขันในครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทั้งสองชนะและทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้น พวกมันจึงรวมตัวกันเป็นทีมเวิร์ก เริ่มต้นด้วยเจ้ากระต่ายแบกเจ้าเต่าวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดจนถึงแม่น้ำ .............จากนั้นเจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายน้ำข้ามไป พอข้ามฝั่งได้เจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งต่อจนถึงเส้นชัย ซึ่งผลของการแข่งขันเป็นที่พอใจของทั้งสองเป็นอย่างมากกว่าครั้งก่อน ๆ
ข้อคิดในภาคที่ สี่ การมีจุดแข็งหรือโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันยังมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง
ทีมเวิร์กสำหรับตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ มอบหมายให้ผู้นำที่มีความถนัดในสถานการณ์นั้น ๆ เป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วงโดยแต่ละคนจะเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้เรายังได้รับบทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่ายไม่มีใครล้มเลิกหรือท้อแท้หลังจากที่แพ้ไป กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยทำงานที่หนักขึ้น มุมานุในงานของตน ส่วนเต่าก็ได้ปรับกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะมันได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันสามารถทำได้แล้วในชีวิต เปรียบได้ว่า เมื่อเราพบปัญหาหรือล้มเหลว ก็ไม่ควรท้อแท้ต้องทำงานให้หนักมากขึ้น เอาใจใส่และรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม บางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไป
ส่วนบทเรียนที่เพิ่มเติมคือ เมื่อหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคลแล้ว หันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พบว่าเต่าและกระต่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
.............สรุปแล้ว เรื่องของเต่ากับกระต่าย สอนเราในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็ว ความเสมอต้นเสมอปลายชนะความล่าช้า, การดึงศักยภาพในตัวของเราออกมา และทำงานร่วมกันเป็นทีมย่อมดีกว่าการทำงานเพียงคนเดียว, อย่ายอมแพ้เมื่อพบกับความล้มเหลว และสุดท้ายคือ จงแข่งกับสถานการณ์ไม่ใช่ตัวบุคคล

1 comment:

Anonymous said...

เป็นนิทานที่อ่านแล้วได้ข้อคิดหลายข้อคิดมากเลยค่ะ